วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558

การทำความสะอาดผิวด้วยน้ำ

การทำความสะอาดผิวด้วยน้ำ

น้ำจัดว่า เป็นสารทำความสะอาดที่ง่ายที่สุด แต่พบว่า น้ำไม่มีคุณสมบัติในการทำให้เปียก (Wetting Effect) ที่ดีต่อผิว สังเกตได้จากหลังอาบน้ำ มักจะมีหยดน้ำเกาะอยู่ตามผิวหนัง เพราะผิวหนังมีสารคีราติน ซึ่งไม่ค่อยเปียกน้ำ ดังนั้น จึงมีการเติมสารบางอย่างลงไปในน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดผิว ได้แก่
  1. แอลกอฮอล์ นิยมใช้เอธิลแอลกอฮอลและไอโซโพพิลแอลกอฮอล์ และการผสมแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ ๒๐-๔๐ ในน้ำ จะช่วยทำหน้าที่

           1.1 ลดแรงตึงผิว และแรงตึงระหว่างผิวของน้ำกับผิวหนังให้เปียกน้ำดีขึ้น
           1.2 มีประสิทธิภาพในการขจัดไขมันอย่างอ่อน
           1.3 มีประสิทธิภาพลำลายน้ำหอมที่ใช้แต่งกลิ่น
           1.4 มีฤทธิ์ฝาดสมานและฆ่าเชื้ออย่างอ่อน
    
   2. สารลดแรงตึงผิว ช่วยเพิ่มอำนาจการทำความสะอาดได้ดีกว่าแอลกอฮอล์ ซึ่งขจัดสิ่งสกปรกและฝุ่นได้ดี เป็นการ เพิ่มอำนาจการทำให้เปียกต่อผิว ป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกย้อนกลับคืนสู่ผิวได้อีก แรงตึงผิวที่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปได้แก่ สบู่ สบู่เป็นสารผสมของเกลือโซเดียมของกรดไขมันหลายตัว เป็นสารที่ต้องใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย เมื่อสบู่ทำปฏิกิริยากับด่างในสารละลายน้ำ ทำให้เกิดสภาวะเป็นด่าง มีค่าพี-เอชระหว่าง ๙.๕-๑๐.๘ แต่ผิวหนังของคนเรามีค่าพีเอชเป็นกรด คือ ๕ ดังนั้น การล้างหน้าด้วยสบู่จึงทำให้สภาพผิวเกิดความเป็นด่างชั่วคราว ถ้าล้างออกด้วยน้ำจะหยุดสภาพความเป็นด่าง จากนั้น สภาพผิวจะกลับสู่สภาพความเป็นกรดภายใน ๓๐ นาที ซึ่งการใช้สบู่กับน้ำกระด้าง จะทำให้เกิดตะกอนแคลเซียมและแมกนีเซียมติดบนผิว อันเป็นบ่อเกิดของสิวเสี้ยน และพบว่า ตะกอนของเกลือแคลเซียมจะส่งเสริมให้เชื้อแบคทีเรียเข้าไปในต่อมไขมันและทำให้อักเสบได้

สอบถามสบู่แก้มใสไร้สิวเพิ่มเติมที่ 0816518088

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2558

หลักการเบื้องต้นในการดูแลรักษาผิวตามสภาพผิวหนัง

หลักการเบื้องต้นในการดูแลรักษาผิวตามสภาพผิวหนัง

ลักษณะผิวประเภทต่าง ๆ

1. ผิวธรรมดา (Normal Skin) 

  • เป็นลักษณะผิวที่หาได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชุมชนเมือง
  • ลักษณะผิว สะอาด เนียนนุ่ม เต่งตึง ไม่มัน ไม่มีริ้วรอย เนื้อเยื่อชั้นหนังกำพร้าจะมีความหนาพอดีไม่บางหรือหนาเกินไป มีความยืดหยุ่นดี เนื้อผิวชุ่มชื้น น่าสัมผัส

2. ผิวแห้ง (Dry Skin)

  • ลักษณะผิว ผิวชั้นนอกบางเห็นเส้นเลือดแดงเรื่อ ๆ เนื้อผิวแตกเป็นเกล็ดขุยลอกออกเป็นคราบ มีอาการคันร่วมด้วย เกิดริ้วรอยได้ง่าย จะรู้สึกแน่นตึงบนผิวหน้าโดยเฉพาะหลังจากล้างหน้าเสร็จใหม่ ๆ ผิวเช่นนี้จะเกิดอาการแพ้ได้ง่าย
  • ข้อแนะนำ ล้างหน้า สมานผิวและบำรุงผิวทุกวัน
  • สาเหตุ
    • ต่อมน้ำมันผลิตไขมันออกมาน้อย
    • ต่อมเหงื่อขับน้ำออกมาน้อย
    • ใช้สบู่ที่มีคุณสมบัติในการชะล้างที่แรง น้ำหล่อเลี้ยงจึงถูกกำจัดด้วย ทำให้ขาดความชุ่มชื้น
    • ขาดวิตามินซี
    • อยู่ในที่อากาศร้อนมาก
    • ออกแดดโดยไม่ปกป้องผิว
3. ผิวมัน (Oily Skin)

  • ลักษณะผิว ผิวชั้นนอกจะดูหนา เนื้อผิวหยาบ รูขุมขนเปิดกว้าง มีน้ำหล่อเลี้ยงผิวอยู่มาก ผิวไม่เรียบ เนื่องจาก การอุดตันของไขมันและสิว
  • ข้อแนะนำ ทำความสะอาด สมานผิวด้วยโลชั่นสมานผิวสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ เพื่อหยุดยั้งการทำงานของต่อมไขมันไม่ให้ผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป รับประทานอาหารประเภทผัก ผลไม้ เนื้อที่ไม่ติดมัน ปลา และดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ
  • สาเหตุ
    • ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป
    • ระบบการเผาผลาญอาหารไม่ดี
4. ผิวผสม (Combination Skin)

  • ลักษณะผิว โดยรวมจะเป็นผิวแห้ง ผิวธรรมดา และผิวมันเข้าด้วยกัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวบริเวณนั้น ๆ ว่าเป็นผิวอะไร เช่น บริเวณทีโซน มักจะมัน บริเวณแก้ม รอบดวงตา คอเป็นผิวธรรมดา
ข้อแนะนำ ควรดูแลสภาพผิวพรรณให้เหมาะสมกับลักษณะผิวบริเวณนั้น ๆ


การระคายเคืองและการแพ้ของผิว


ผิวทั้ง 4 ชนิดมีสิทธิแพ้ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของผิว เนื่องจาก ผิวหนังเป็นหน้าด่านที่จะต้องเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ที่มาสัมผัสกับร่างกาย ผิวหนังจึงมีกลไกในการต่อต้านสิ่งเหล่านี้เพื่อปกป้องร่างกาย ถ้าสิ่งที่มาสัมผัสไม่รุนแรงผิวหนังอาจจะไม่แสดงอาการออกมา แต่ถ้ามีความรุนแรงกลไกการต้านทานไม่ไหว จะแสดงอาการเกิดขึ้น เช่น บวม (Edema) แดง (Erythema) เป็นเม็ดพุพอง (Blisttering) หดตัว (Shriveling) ไหม้ (Burn) หลุดลอกเป็นสะเก็ด (Desquamation) คันเป็นผื่นแดง (Eczema) อาการเหล่านี้เกิดจากสาเหตุใหญ่ ๆ 2 ประการ คือ การระคายเคือง (Irritation) การแพ้ (Allergy or sensitization)


การระคายเคืองจากเครื่องสำอางมักจะเกิดจากสบู่ที่มีความเป็นด่าง ทำให้ผิวหนังแห้ง ถ้าผู้ใช้สบู่มีการถูแรง ๆ เพื่อให้สิ่งสกปรกหลุดออก ผิวจะแห้งสากมากขึ้นทำให้เกิดการแพ้สารอื่นตามมาได้ นอกจากนี้ อาจจะทำให้รูขุมขนเกิดการระคายเคืองต่อต่อมไขมัน ทำให้ไขมันอุดตันรูขุมขน ทำให้เกิดสิวตามมา

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2558

ผิวขาดน้ำ

ผิวขาดน้ำ

ผิวขาดน้ำ เป็นผิวที่ขาดความชุ่มชื้นในชั้นหนังกำพร้า ผิวจะดู หม่นมัว แห้งมาก จะมีอาการคันโดยเฉพาะหลังการล้างหน้า ทั้งนี้ ผิวแห้งจะมีโอกาสเป็นผิวขาดน้ำมากกว่าชนิดอื่น แต่ผิวทุกชนิดก็มีอาการขาดน้ำได้เช่นกัน หากการดูแลและปกป้องไม่ดีพอ

สาเหตุที่ทำให้ผิวขาดน้ำมาจากการที่ไขมันเคลือบผิวถูกทำลาย เนื่องจาก


  1. การใช้สารชำระล้าง ทำความสะอาดผิว (คลีนเซอร์) ที่รุนแรงกับผิว
  2. การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลและภูมิอากาศ
  3. การอยู่ในห้องปรับอากาศเป็นเวลานาน
  4. การเผชิญกับรังสี UV
  5. การสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  6. ความเครียด เป็นไข้ ขาดการดูแลเอาใจใส่
  7. การปรับสภาพที่ไม่เป็นไปตามสิ่งแวดล้อม
  8. ดื่มน้ำน้อย
  9. อดทน

การดูแลแก้ไขผิวขาดน้ำ                  

  1.        การคืนความชุ่มชื้นให้กับผิว โดยเลือกใช้สารชำระล้าง คลีนเซอร์ที่อ่อนโยต่อผิวพรรณ
  2.        ดื่มน้ำไม่ต่ำกว่า 7-8 แก้ว โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในห้องปรับอากาศเป็นประจำ
  3.        หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  4.        ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
   ภาพจากอินเตอร์เน็ต
    Website : http://yanincosmetic.com
  


วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

“ภัยร้าย” ใกล้ตัวของสาว ๆ Working Woman

“ภัยร้าย” ใกล้ตัวของสาว ๆ Working Woman

Working Syndrome โรคที่น่าสนใจอย่างหนึ่งที่ใครหลายคนยังไม่รู้จัก แต่เป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดในกลุ่มคนวัยทำงานออฟฟิต โดยเฉพาะคนที่ทำงานหนัก ไม่มีเวลาพักผ่อน หลายรายมารู้ตัวอีกทีก็แก้ปัญหาไม่ทันแล้ว เราเรียกโรคนี้อีกอย่างว่า “ออฟฟิตซินโดรม”

เนื่องจาก จากการวิจัยพบว่า มีพนักงานออฟฟิตจำนวนไม่น้อยที่ต้องเข้าปรึกษาแพทย์ด้วยอาการต่าง ๆ เช่น ปวดหลัง ปวดบริเวณคอบ่าไหล่ รวมถึงปวดศีรษะ โดยเฉพาะคนทำงานในช่วงอายุตั้งแต่ 24 ปีขึ้นไป ซึ่งทั้งหมดนี้แพทย์ระบุว่า เป็นอาการเชื่อมโยงที่มาจาก โรคออฟฟิตซินโดรม

สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดโรคนี้ ก็เนื่องมาจาก การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำงานไม่เหมาะสม การทำงานหนัก ประกอบกับอิริยาบถในการทำงานไม่เหมาะสม นั่งหลังค่อม นั่งทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ โดยไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นานสูงกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ ปวดเมื่อยตามร่างกาย อาทิ หลัง ไหล่ บ่า แขน ข้อมือ นิ้ว ทั้งนี้ การกดแป้นคีย์บอร์ดซ้ำ ๆ โดยที่ไม่มีตัวรองรับข้อมือก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบบริเวณเส้นเอ็น รวมทั้งเกิดภาวะพังผืดหนา เกิดอาการชาบริเวณนิ้วและข้อมือขึ้นได้ หรือบางรายที่เคยมีอาการของโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนอยู่ด้วย หากบวกกับโรคนี้แล้ว ยิ่งจะทำให้มีอาการปวดรุนแรงมากขึ้น นอกจากนี้ ยังพบว่า สาเหตุรองลงมาของโรคออฟฟิตซินโดรมก็คือ ความเครียดที่ส่งผลต่อภาวะออฟฟิตซินโดรมถึงร้อยละ 80 เลยทีเดียว

การแก้ไขเบื้องต้นที่ทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเองก็คือ
  • ปรับเปลี่ยนอิริยาบถท่านั่งทำงานบ่อย ๆ รวมทั้งเปลี่ยนลักษณะท่านั่งให้เหมาะสม เช่น นั่งให้เต็มก้น พิงพนักเก้าอี้ในท่าที่สบาย
  • หาหมอนรองหลังพิงพนักเก้าอี้ เพื่อให้หลังไม่ค่อมเวลานั่งทำงานนาน ๆ
  • จัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อความสะอวดต่อการเคลื่อนไหวในการหยิบสิ่งของต่าง ๆ
  • พยายามวางของที่ใช้บ่อย ๆ ให้อยู่ด้านซ้ายของโต๊ะ เพื่อหยิบจับได้สะดวก
  • ขนาดโต๊ะทำงานควรมีระดับที่พอดีกับข้อศอก เพื่อให้สามารถกดคีย์บอร์ดได้อย่างถนัด
  • แป้นคีย์บอร์ดควรมีที่รองรับข้อมือด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระดกข้อมือซ้ำ ๆ
  • ปรับเก้าอี้ขึ้นลงตามความเหมาะสม และควรเป็นเก้าอี้ที่มีพนักพิง ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกเก้าอี้ที่สามารถรองรับศีรษะได้ด้วย
  • เลือกจอคอมพิวเตอร์แบบ LCD หรือจอแบน เนื่องจาก การสำหรับพบว่า จอแบบ CRT หรือจอลักษณะโค้งมน จะทำให้ผู้ใช้เกิดการเพ่งสายตา และปวดศีรษะมากกว่าการใช้จอแบบ LCD
  • พักสายตาทุก  ๆ 20 นาที และควรจัดจอภาพคอมพิวเตอร์ให้ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 15 องศา
  • ปรับความสว่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมสบายตา

อันตรายจากโรคออฟฟิตซินโดรมที่พบบ่อย ๆ ก็คือ สายตาสั้น ตาแห้ง สายตาพร่ามัว ตาปรับภาพได้ช้าลง ผลกระทบที่ส่งตรงต่อสายตานั้นมาจากการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ทำให้เรากระพริบตาน้อยลง แต่หนังตาเปิดกว้างขึ้น ในขณะเดียวกัน บรรยากาศในที่ทำงานนั้น มักจะมีสภาพอากาศที่แห้ง หรือเมื่อเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ เกินกว่าปกติ ก็อาจทำให้กล้ามเนื้อตาอักเสบ และต้องใช้การรักษาที่ยาวนานและเป็นอันตรายถึงขั้นตาบอดได้

นอกจากนี้ พนักงานออฟฟิตที่ทำงานที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ เช่น กราฟฟิกดีไซน์ โปรแกรมเมอร์ นักวิจัย นักเขียน เป็นต้น ต้องหมั่นหาเวลาพักสายตาบ้าง ไม่ควรเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ๆ อาจออกไปยืดแขนขาสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกอาคารบ้าง เข้าห้องน้ำบ้าง เพื่อเป็นการผ่อนคลายและปรับเปลี่ยนอิริยาบถไปในตัว

ภาพจากอินเตอร์เน็ต

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

เครียดแค่ไหน ก็ต้องหยุด “เท้าคาง” นะ!

เครียดแค่ไหน ก็ต้องหยุด “เท้าคาง” นะ!

เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ทุก ๆ ริ้วรอยอันไม่พึงประสงค์ แต่ถ้าหากเรารู้จักวิธีการชะลอ หรือยับยั้งไม่ให้เกิดขึ้นก่อนเวลาอันสมควร ก็คงเป็นเรื่องน่ายินดีไม่ใช่หรือ? เพราะเชื่อแน่ว่า ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้มีริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าเกิดขึ้นก่อนวัยแน่นอน ยิ่งตอนนี้เราเองก็ไม่ใช่เด็ก ๆ ที่จะทำอะไรก็เต่งตึงเด้งดึ๋งไปหมด ไม่ว่าจะหัวเราะ หรือร้องไห้ เมื่อหยุดแล้ว ริ้วรอยของอิริยาบถบนหน้า ใบหน้าก็จะหายไปในทันที ไม่ว่าจะทำบ่อยแค่ไหนก็ตาม

โดยเฉพาะอิริยาบถประเภทนั่งเท้าคาง นับเป็นท่าทางที่เสี่ยงต่อริ้วรอยบนใบหน้าได้เร็วแบบที่เรามักไม่รู้ตัว และเป็นสิ่งที่เราชอบเผลอทำกันบ่อย ๆ เสียด้วย โดยส่วนใหญ่แล้วคนในช่วงวัยอายุ 30 ปีขึ้นไป มักจะเกิดริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้าได้ง่าย แถมริ้วรอยนี้ยังเลือนหายไปยากอีกต่างหาก นั่นก็เพราะเมื่อเวลาผ่านไปผิวหนังมันไม่เด้งดึ๋งกลับไปเต่งตึงง่าย ๆ เหมือนเด็กแล้วนั่นเอง

ดังนั้น ถ้าหากคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว (อายุ 30 ปีขึ้นไป) ก็ควรพยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรม รวมทั้งอิริยาบถต่าง ๆ เสียตั้งแต่ตอนนี้ โดยเฉพาะการเท้าคาง เพราะการนั่งเท้าคางแค่ไม่กี่นาที ก็ทำให้เกิดริ้วรอยได้มากมายอย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจาก เกิดการกดทับขึ้นบนผิวหน้า และถ้าใครที่ทำบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ กันเป็นประจำแล้วล่ะก็ ริ้วรอยก็ยิ่งจะปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้น หากคุณรู้สึกว่า เมื่อยคอจนอยากนั่งเท้าคางให้รีบเตือนตัวเองไว้ทุกครั้งว่า “ไม่ทำนะ เดี๋ยวแก่” ถ้าเป็นไปได้ ให้หาเวลาพักสายตา ออกไปเดินเล่น ยืดแขนยืดขาบ้าง อาจช่วยบรรเทาการเหนื่อยล้าได้ หรืออาจนอนหลับตาพักผ่อน นวดกดจุดผ่อนคลายบริเวณใบหน้าและต้น ก็จะเป็นการช่วยได้เยอะเลยทีเดียว


นอกจากนี้ ต้องรู้จักถนอมผิวด้วยวิธีอื่น ๆ ด้วย เช่น ใช้ครีมบำรุงผิวที่มีเนื้อครีมเข้มข้น ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยต่อต้านริ้วรอย และกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิว อาจเป็นครีมที่มีส่วนผสมของ AHA หรือวิตามินซีรวมอยู่ด้วย เพื่อเรียกความสดใสของผิวที่หายไป ถ้ามีเวลาก็หมั่นไปทำทรีทเม้นท์เพื่อให้อาหารผิว ทำเลเซอร์บ้าง จะเป็นอีกทางที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ให้กับผิวและได้ผลดี ที่สำคัญไปกว่านั้น ไม่ควรลือมใช้ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดค่า SPF สูงพอในปริมาณที่เหมาะสมในทุกวันด้วย เมื่อดูแลดีแล้ว แม้วันนี้หรือวันหน้าที่เรากำลังจะก้าวข้ามเลข 3 หรือเลยไปไกลแล้วก็ตาม แต่ถ้าผิวเรายังเด็กกว่าอายุจริง มีความชุ่มชื้นเปล่งปลั่งสดใสไม่มีริ้วรอยก่อนวัย ก็เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจไม่ใช่เหรอจ๊ะสาว ๆ

นวพร เอี่ยมธีระกุล
Email : yanincosmetic@hotmail.com

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

ปรับอีกนิด ชีวิตเลี่ยงแดด

ปรับอีกนิด ชีวิตเลี่ยงแดด

สิ่งที่พึงระวังยามหน้าร้อน คือ กลางวันจะยาวกว่ากลางคืน ซึ่งอาจจะส่งผลให้เราพักผ่อนน้อยลงโดยไม่รู้ตัว เพราะถ้าหากว่าเราเข้านอนเวลาปกติ แต่แดดออกเร็วกว่าปกติ ร่างกายก็จะตื่นเร็วกว่าปกติไปวันละนิดละน้อย เมื่อบวกกับอากาศร้อนตอนกลางวันที่ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียกว่าปกติแล้ว คุณอาจจะเกิดอาการอ่อนเพลีย ร่างกายอ่อนล้าได้โดยไม่ทราบสาเหตุ (ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วสาเหตุเกิดจากสิ่งที่ได้อธิบายมาแล้วข้างต้นนั่นเอง) ดังนั้น ปรับเปลี่ยนวิถีการนอนและตำแหน่งอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ในห้องนอนรับหน้าร้อนดีกว่าค่ะ

ดูตำแหน่งเตียงนอนว่า รับแสงแดดตอนเช้าเต็ม ๆ หรือไม่ ถ้าสามารถเลื่อนเตียงนอนให้หลบแสงแดดตอนเช้าได้ ควรทำ หรือติดผ้าม่านกันแสง เพื่อลดกรองแสงและความร้อนที่จะส่งเข้าห้องช่วงเช้าตรู่ และไม่ควรเปิดเครื่องปรับอากาศอุณหภูมิต่ำจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้ร่างกายปรับตัวกับอากาศจริงข้างนอกไม่ทัน อาจทำให้ป่วย หรืออ่อนเพลียได้ง่ายขึ้น


นอกจากนั้น อุณหภูมิของน้ำที่อาบก็สำคัญ การอาบน้ำเย็นจัด ๆ ในหน้าร้อนอาจจะทำให้ร่างกายปรับอุณหภูมิปกติ และไม่ปล่อยให้ร่างกายเปียกน้ำไปโดนพัดลมหรือโดนลม เพราะอาจจะทำให้เป็นไข้ได้ รีบเช็ดตัวให้แห้งหลังจากจากการอาบน้ำ และสวมเสื้อผ้าหลวม ๆ สลาย ๆ แทนดีกว่า และอย่าลืมปกป้องของคุณด้วยครีมกันแดดนะค่ะ

นวพร เอี่ยมธีระกุล
ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
Website : 
Email : yanincosmetic@hotmail.com

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558

เคล็ดลับผิวขาวสวยสุขภาพดีในหน้าร้อน

เคล็ดลับผิวขาวสวยสุขภาพดีในหน้าร้อน

วันนี้ นำเคล็ดลับวิธีการดูแลผิวหน้าร้อน ที่จะช่วยให้คุณมีผิวขาวสวยสดใสกับอากาศร้อนๆ ได้เป็นอย่างดีแน่นอน

เมื่อต้องเผชิญแสงแดด สิ่งที่คุณสาว ๆ ขาดกันไม่ได้เลย ก็คือ ครีมกันแดด และสำหรับแสงแดดที่แผดจ้า อย่างนี้สาว ๆ ต้องเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF30 ขึ้นไปถึงจะพอ เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะสู้แสงแดดแรง ๆ ในบ้านเราไม่ได้ และในการแต่งหน้า คุณสาว ๆ อย่าใช้รองพื้นที่หนาเกินไป เพราะคุณจะสวยได้ไม่นาน หน้าก็จะมันเยิ้มจากการเผชิญแสงแดดร้อนจ้า ซึ่งแน่นอนว่า การที่ครีมรองพื้นละลายเข้ากับความมันบนใบหน้า แล้วใบหน้าคุณก็จะมีสิวเห่อเอาได้ง่าย ๆ ดังนั้น ควรทาครีมกันแดดและรองพื้นบาง ๆ ก็พอค่ะ หรือไม่ก็ทาแป้งแบบชริมเมอร์ก็ช่วยเรื่องความสว่างสดใสได้เยอะ ส่วนเครื่องสำอางนั้น ลองเลือกที่กันน้ำได้ก็จะลดปัญหาเครื่องสำอางละลายเปื้อนใบหน้าได้

เมื่อออกไปข้างนอก โดยแสงแดดมาเป็นเวลานาน หรือไม่ว่าแดดจะแรงเท่าไหร่ เมื่อกลับมาบ้านแล้ว ลองใช้น้ำเย็นล้างหน้า รับรองว่า นอกจาก จะรู้สึกผิวสดชื่นเย็นสบายแล้ว น้ำเย็นยังช่วยฟื้นฟูผิวหน้าได้เป็นอย่างดีด้วย

ข้อสำคัญในหน้าร้อน ๆ อย่างนี้นะค่ะ คือ การดื่มน้ำค่ะ ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ ดื่มให้ได้อย่างน้อย 8-10 แก้ว การดื่มน้ำเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิว ในฤดูร้อนที่ผิวมักจะแห้ง และทานผลไม้ หรือน้ำผลไม้กันบ่อย ๆ เช่น แตงโม แคนตาลูป หรือผลไม้ธาตุเย็น เพราะผลไม้ประเภทนี้จะอุดมไปด้วยน้ำที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวพอ ๆ กับน้ำเลยค่ะ แต่จะดีตรงที่มีรสชาติดีและยังเป็นอาหารบำรุงผิวที่คุณจะได้มาพร้อมกับความหวานอร่อยของผลไม้นั่นเองค่ะ ดังนั้น ทานผลไม้เยอะ ๆ กันให้ได้ทุกวันนะค่ะ

นวพร เอี่ยมธีระกุล (นู๋กบ)

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2558

แนวทางเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด

แนวทางเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด

แสงแดดเป็นภัยใกล้ตัวที่เรานึกไม่ถึง จากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ อันเนื่องมาจากชั้นบรรยากาศที่ทำหน้าที่กรองรังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet, UV) ค่อย ๆ ถูกทำลายลง จนทำให้รังสียูวีเอและรังสียูวีบีที่มีอยู่ในแสงแดดตกลงมากระทบถึงพื้นผิวโลก ส่งผลให้ผิวของคนเราเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวแก่ก่อนวัย จุดด่างดำ ฝ้า กระ ผิวไหม้ แสบแดง ผิวหนังอักเสบ ไปจนถึงมะเร็งผิวหนัง  ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด (ครีมกันแดด) จะช่วยป้องกันอันตรายจากแสงแดดได้ ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด (ครีมกันแดด) ที่วางขายอยู่ในท้องตลาดมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันรังสียูวีเอ และรังสียูวีบี โดยช่วยลดปริมาณรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่จะมาถึงผิวโดยอาศัยคุณสมบัติของสารป้องกันแสงแดดที่มีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่
  1. กลุ่มสารที่เป็นสารสะท้อนแสงแดด โดยสารกลุ่มนี้จะเคลือบอยู่บนผิวไม่ดูดซึมเข้าสู่ผิวหนัง เช่น ซิงค์ออกไซด์ (Zinc oxide) ไตตาเนียมไอออกไซด์ (Titanium dioxide) แมกนีเซียมคาร์บอเนต (Magnesium carbonate และ Magnesium oxide) เป็นต้น
  2. กลุ่มสารที่เป็นสารดูดซับแสง สารเหล่านี้จะทำหน้าที่ดูดซับแสงแดดทำให้แสงแดดไม่สามารถผ่านเข้ามาทำอันตรายต่อผิวหนังได้ เช่น แอนทรานิเลต (Anthranilate) เบนโซฟิโนน (Bensophenone) ซินนาเมต (Cinnamate) เป็นต้น

คำว่า Sun Protection Factor (SPF) คงคุ้นหูเป็นอย่างมาก มันเป็นค่าที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดของผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด (ครีมกันแดด) เช่น ถ้าปกติโดนแสงแดดได้นานเป็นเวลา 30 นาที แล้วถึงจะอาการแสบ ร้อน หรือไหม้ที่บริเวณผิวหนัง แต่เมื่อได้ทาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางป้องกันแสงแดด (ครีมกันแดด) ที่ผสมสารป้องกันแสงแดดที่มีค่า SPF 15 ก็จะสามารถสัมผัสกับแสงแดดได้นานขึ้นถึง 15 เท่า ก็คือ 450 นาที เครื่องสำอางที่มีค่า SPF มากย่อมทำให้ระยะเวลาที่ผิวสามารถทนทานต่อแสงแดดนานขึ้นตามลำดับ แต่เครื่องสำอางนั้นก็จะเหนียวเหนอะมากขึ้น และมีสารเคมีที่ใช้กันแดดมากตามเช่นกัน ดังนั้น โอกาสที่ผู้ใช้จะเกิดการแพ้หรือระคายเคืองย่อมมีมากกว่าผู้ที่ใช้เครื่องสำอางที่มีค่า SPF ต่ำ อีกทั้งเครื่องสำอางที่มีค่า SPF ยิ่งมากราคายิ่งแพง

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดมีการผลิตออกมามากมายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค จนในบางครั้งอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสนในการเลือกซื้อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ อย่างคำว่า sunscreen และ sunblock ที่ระบุอยู่บนฉลากผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 คำนี้ อาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความสงสัยว่า มีความแตกต่างกันอย่างไร และชนิดไหนให้ผลดีกว่ากัน ซึ่งในความเป็นจริง 2 คำนี้ใช้เรียกแทนกันได้ในการตั้งชื่อผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิต เพียงแต่ sunscreen (Chemical Sunscreen) คือ ผลิตภัณฑ์ที่มีสารป้องกันแสงแดดเป็นส่วนผสม มีคุณสมบัติช่วยปกป้องผิวหนังจากแสงแดดได้ด้วยการดูดซับรังสี UV และควรทาก่อนถูกแสงแดดเป็นเวลา 30 นาที เนื่องจาก ต้องการเวลาในการเกิดปฏิกิริยาเคมี ส่วน sunblock (Physical Sunscreen) เป็นคำที่ใช้กับผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะทึบแสงมาก ๆ และมีความข้นหนืดสูง มีคุณสมบัติปกป้องผิวด้วยการช่วยสะท้อนหรือกระจายแสง UV ออกจากผิว ไม่ให้แสง UV ผ่านเข้าชั้นผิวหนังได้ 

สำหรับการเลือกซื้อครีมกันแดดอย่างถูกวิธี คือ

  1. ฉลากผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดจะต้องเป็นภาษาไทย แสดงชื่อและประเภทของผลิตภัณฑ์ ชื่อและปริมาณส่วนประกอบสำคัญ ชื่อที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า เลขที่แสดงครั้งที่ผลิต วันเดือนปีที่ผลิต วิธีใช้ ปริมาณ สุทธิ คำเตือน เลขที่จดแจ้งจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และมีอายุไม่เกิน 2 ปี
  2. ควรพิจารณาเลือกซื้อครีมกันแดดที่มีสารกรองแสงรังสีทั้งยูวีเอและยูวีบีเป็นองค์ประกอบ
  3. ควรเลือกซื้อครีมกันแดดที่บอกค่าป้องกันแสงแดด (SPF-Sun Protection Factor) เช่น SPF 15 หรือ 30 เป็นต้น และควรเลือกใช้ตามความเหมาะสม เช่น ถ้าต้องทำงานนอกสถานที่ หรือต้องได้รับแสงแดดจัดเป็นเวลานาน ควรเลือกซื้อครีมกันแดดที่มีค่าสูง เช่น SPF 15 หรือมากกว่านั้น
  4. ในกรณีที่ต้องการป้องกันแสงแดดขณะว่ายน้ำ ควรเลือกครีมกันแดดชนิดที่กันน้ำ (Water resistance) ถ้าใช้ขณะอากาศร้อนมากเหงื่อออกง่าย หรือป้องกันแสงแดดเมื่อเล่นกีฬา ควรเลือกชนิดทนต่อเหงื่อ (Sweat resistance)
  5. ควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้ครีมกันแดด โดยทาผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดนั้น ๆ ในปริมาณเล็กน้อยที่บริเวณท้องแขน แล้วทิ้งไว้ 24-48 ชั่วโมง หากไม่มีความผิดปกติใด ๆ แสดงว่าใช้ได้ อย่างไรก็ตาม การใช้ครีมกันแดดเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด แต่ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเวลาแดดจัด ๆ โดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00 – 16.00 น. และควรทาครีมกันแดดอย่างน้อย 30 นาที เพื่อให้เนื้อครีมเคลือบติดที่ผิวได้ดี สำหรับผู้ที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานาน ๆ แนะนำให้ทาซ้ำทุก ๆ 2-3 ชั่วโมงเพื่อประสิทธิภาพที่ดีในการปกป้องผิวจากแสงแดด
นวพร เอี่ยมธีระกุล
Email : yanincosmetic@hotmail.com

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2558

ผู้หญิงยุคใหม่ต้อง “ผิวขาวสวย”


ผู้หญิงยุคใหม่ต้อง “ผิวขาวสวย”

กระแสสังคมสำหรับผู้หญิงยุคใหม่ คือ การมี “ผิวขาว” ซึ่งถือได้ว่า เป็นใบเบิกทางไปสู่ความสำเร็จในชีวิต ผลที่ตามมาอย่างต่อเนื่องนั่น คือ “ความมั่นใจ” ในการแต่งตัวของผู้หญิงยุคใหม่ที่มีผิวขาวสวย เพื่ออวดโฉมผิวพรรณของตัวเอง

จากการวิจัยถึงสาเหตุหลักของการใช้เครื่องสำอางของผู้หญิงของอนุภพ สุวรรณนั้น พบว่า สาเหตุหลักของการใช้เครื่องสำอางนั้น เพราะเพื่อความสวยงามถึงร้อยละ ๖๘ และรองลงมาของการใช้เครื่องสำอาง เพราะเสริมสร้างบุคลิกภาพ และความมั่นใจถึงร้อยละ ๕๖ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ได้ถูกกลืนกินจนกลายเป็นค่านิยมที่มุ่งแต่เฉพาะความต้องการให้ “ผิวขาว” ที่สวยงามตามกระแสความเชื่อหลักของคนในสังคมเมืองยุคปัจจุบันนี้ไปเสียแล้ว

ด้วยความสวยงาม และการมีผิวขาวของผู้หญิงยุคใหม่นั้น กระแสสังคมยังได้ผูกโยงกับความสาวที่ไม่มีริ้วรอย เหี่ยวย่น ต้องสดใส เต็งตึงตลอดเวลา นักวิทยาศาสตร์ทางด้านความงาม จึงมองว่า รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าถือเป็นโรคร้ายชนิดหนึ่งที่ต้องปราบให้สิ้นซาก บริษัทเครื่องสำอางทั้งใน และต่างประเทศจึงทุ่มเทการวิเคราะห์ วิจัยในการผลิตครีมลดรอยเหี่ยวย่น เพื่อตอบสนองผู้หญิงทั่วทั้งโลกที่เกลียด และกลัวความแก่ ผู้หญิงจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงในประเทศไทยและต่างประเทศต่างหาซื้อผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อลดริ้วรอยเหี่ยวย่น และทำให้ตัวเองมีผิวขาวสวย ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยยอมเบียดเบียนตัวเอง ยอมอดแต่ขอให้ตัวเองได้สวยและดูดี การจัดการความงามเพื่อให้ความสวยคงทนนั้น จึงอยู่บนหลักการปฏิบัติตัวที่อยู่บนความมีวินัย และต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นผล เคยทำแล้วจะต้องทำต่อไป เลิกได้ยาก ใช้ผลิตภัณฑ์ก็ต้องใช้อย่างต่อเนื่อง เช่น การเลือกใช้ครีมบำรุงผิว ครีมลดริ้วรอย ครีมทำให้ผิวขาวใส

อย่างไรก็ดี ผู้หญิงยุคใหม่ยังถูกกระแสสังคม ทำให้เชื่อว่า การมีผิวขาวสวยเป็นสิ่งที่แสดงคุณค่า และตัวตนของผู้หญิงนั้น ทำให้เกิดการหมกมุ่นและเสียเวลาเงินทองกับการจัดการความงามที่ไม่มีสิ้นสุด แทนที่จะมองในเรื่องของคุณค่าและความสามารถของการทำงาน การยึดติดความสุขความพอใจไว้กับความความสวยงามของรูปลักษณ์ ทำให้ผู้หญิงร้องหา และไขว่คว้า เพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขนั้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผู้หญิงเหล่านี้ ถูกควบคุม และตกอยู่ภายใต้สังคมบริโภคนิยมที่มีการปฏิบัติในการสร้างความงาม ซึ่งใช้ข้อมูลความรู้ที่ได้จากการวิจัยทดลองจากวิทยาศาสตร์การแพทย์ในการอ้างอิงให้เชื่อถือว่า เป็นความจริง สังคมบริโภคนิยมนำเสนอภาพความงามและการจัดการความงามให้ชวนน่าสัมผัส ทำให้ความเสี่ยง ความเจ็บปวด และอันตรายจากการจัดการความงามเป็นสิ่งที่ถูกผู้หญิงมองข้ามไป

นวพร เอี่ยมธีระกุล
สอบถามเพิ่มเติม 0816518088

ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558

ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารสกัดจาก “วิตามิน ซี” บำรุงผิวได้อย่างไร



ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารสกัดจาก “วิตามิน ซี” บำรุงผิวได้อย่างไร



ปัจจุบันตลาดเครื่องสำอางในประเทศไทย มีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจำนวนมากได้ระบุว่า มีส่วนผสมของ “วิตามิน ซี แล้วเจ้า “วิตามิน ซี” ช่วยบำรุงผิวได้อย่างไร และควรใช้อย่างไร และเราควรมีข้อควรระวังอย่างไรบ้างค่ะ

ซึ่งในช่วงแรกที่เครื่องสำอางมีการนำ “วิตามิน ซี” หรือ “กรดแอสคอร์บิค” มาใช้ดูแลผิวพรรณนั้น เพื่อต้านริ้วรอย ผิวแก่ก่อนวัย และป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนังที่เกิดจากอนุมูลอิสระ เพราะว่าวิตามิน ซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ต่อมา ก็มีความเชื่อว่า การทาวิตามิน ซี จะช่วยให้ผิวหนังที่มีริ้วรอย ผิวแก่ก่อนวัย จากการที่ เนื้อเยื่อคอลลาเจนน้อยลงตามวัยนั้น กลับมาเต่งตึงได้ด้วย “วิตามิน ซี” ด้วย “วิตามิน ซี” จะช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจน จากการทดลองในเบื้องต้นที่มหาวิทยาลัยดุ๊ค ประเทศสหรัฐอเมริกา เชื่อว่า “วิตามิน ซี”  น่าจะป้องกันริ้วรอย ผิวแก่ก่อนวัยจากสารอนุมูลอิสระได้จริ

อย่างไรก็ดี แพทย์ผิวหนัง และศัลยแพทย์หลายท่านก็ได้แนะนำให้ใช้ “วิตามิน ซี” ในผู้ป่วยที่จะมารับการผ่าตัดผิวหนัง เพราะหวังว่า “วิตามิน ซี” จะไปสะสมในผิวหนังและช่วยต้านอนุมูลอิสระที่จะเกิดขึ้นเมื่อผิวหนังได้รับ การบาดเจ็บจากการผ่าตัด และเพื่อช่วยให้เนื้อเยื่อสร้างคอลลาเจนใหม่ได้เร็วขึ้น ทำให้แผลผ่าตัดหายเร็วขึ้น

โดยเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารสกัดจาก “วิตามิน ซี” นั้น สามารถวางขายได้ทั่วไปโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์ โดยทั่วไปจะอยู่ในรูปครีมหรือซีรั่ม ซึ่งเราอาจใช้ “วิตามิน ซี” เป็นครีมบำรุงผิวทาตอนกลางวัน (day cream) ร่วมกันครีมกันแดดเพื่อต้านรังสีอัลตราไวโอแลต และต้านสารอนุมูลอิสระ และทาตอนก่อนนอน โดยให้ทาบาง ๆ หลังล้างหน้าให้สะอาดแล้ว

อนึ่ง มีข้อพึงระวังที่ต้องปฏิบัติตาม คือ ถ้าทาครีมบำรุงผิวแล้วแสบต้องทิ้งช่วงเวลาหลังล้างหน้าและทาครีมให้นานขึ้น เหตุผลที่แนะนำให้ล้างหน้าก่อนทาครีมบำรุงผิว “วิตามิน ซี” นั้น เพราะไขมันที่เคลือบผิวจะทำให้การดูดซึม “วิตามิน ซี” ผ่านผิวหนังช้าลง และมีข้อสำคัญที่ควรระวังของการทาครีมบำรุงผิว “วิตามิน ซี” คือ อาการแสบ ๆ คัน ๆ ผิวแดง และระคายเคืองผิวหน้า ซึ่งถ้าเกิดอาการเช่นนี้ ก็ต้องทาครีมบำรุงผิวให้น้อยลง หรือทาครีมบำรุงผิววันเว้นวัน

นวพร เอี่ยมธีระกุล
สอบถามเพิ่มเติม 0816518088


ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

คลีนเซอร์แต่ละชนิดต่างกันอย่างไร


คลีนเซอร์แต่ละชนิดต่างกันอย่างไร

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า อาทิ โฟมล้างหน้า เจลล้างหน้า คลีนเซอร์ และครีมล้างหน้า นั้นแตกต่างกันอย่างไร วันนี้เรามาทำความรู้จักด้วยกันนะค่ะ



ประเภทของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ล้างหน้า (คลีนเซอร์) นั้น สามารถแบ่งตามสภาพผิวได้ดังนี้
  • โฟมเหมาะสำหรับผิวธรรมดา (Foaming cleansers) เพราะมีความอ่อนโยนต่อผิวปกติ แต่ก็แรงพอที่จะใช้กับผิวมันในบริเวณที-โซน
  • เจลเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมันและผิวผสม (Gel cleansers) นั้น จะปราศจากน้ำมัน และมีค่าความเป็นด่างน้อยกว่าสบู่ โดยมักมีส่วนผสมของ AHA หรือ BHA ล้างออกง่าย
  • โลชั่นเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย (Lotion cleansers) เพราะมีส่วนผสมของสารทำความสะอาดที่อ่อนและมีสารให้ความชุ่มชื้น คลีนเซอร์ชนิดนี้เมื่อล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าแล้ว จะยังรู้สึกลื่น ๆ เพราะมีสารให้ความชุ่มชื้นเคลือบผิวหนังไว้เป็นฟิล์มบาง ๆ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวที่แพ้ระคายเคืองได้ง่าย
  • คลีนเซอร์เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวนั้น เหมาะกับทุกสภาพผิว เพราะจะมีส่วนผสมของน้ำ (Water-soluble cleansers) ไม่ทำให้ระคายเคืองต่อผิว จึงเหมาะในการใช้ดูแลผิวพรรณทั่ว ๆ ไป
  • โดยคลีนเซอร์ที่มีส่วนผสมของนม (Cleansing milks) มี 3 แบบ เพื่อให้เลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิว คือ ผิวปกติ ผิวผสม หรือผิวมัน
  • โลชั่นปราศจากน้ำมัน (Oil-free cleansing lotions) นั้น จะมีส่วนผสมของไกลโคลิค ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวผสม

ดังนั้น คุณสาว ๆ หนุ่ม ๆ ต้องทราบสภาพผิวของตนเองก่อนนะค่ะ และเมื่อทราบถึงคุณลักษณะของคลีนเซอร์แต่ละชนิดแล้ว ก็เลือกใช้ตามสภาพผิว ขอให้สาว ๆ หนุ่ม ๆ ทุกคนมีผิวขาวสะอาดไร้สิวกันทุกคนนะค่ะ

นวพร เอี่ยมธีระกุล
สอบถามเพิ่มเติม 0816518088

ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2558

วิธีการล้างหน้าที่ถูกต้อง


วิธีการล้างหน้าที่ถูกต้อง

เราจะล้างหน้าแบบไหนถึงจะถูกต้องค่ะ???
  • บางคนบอกให้ใช้สบู่อ่อน
  • บางคนบอกให้ใช้สบู่ยา
  • บางคนบอกว่า เวลาล้างให้ขัดถูใบหน้าแรง ๆ เพราะสิ่งสกปรกและหัวสิวจะได้หลุด
  • บางคนบอกต้องล้างหน้าเบา ๆ

เราควรใช้สบู่หรือครีมล้างหน้าอะไรจะดีที่สุด???
  • บางคนใช้ Iiquid cleanser 
  • บางคนจะใช้แค่สบู่ธรรมดาและน้ำเปล่า

ถึงอย่างไรในข้อนี้คงต้องอยู่กับสภาพผิวหน้าและขึ้นอยู่กับที่ว่า ใช้อะไรล้างแล้วถูกใจที่สุด เข้าทำนองลางเนื้อชอบลางยานั่นแหละค่ะ แต่ไม่แนะนำให้ใช้สบู่ยาแรง ๆ ล้างหน้า โดยทั่วไปในการล้างหน้าขอแนะนำว่า


  1. ให้ใช้สบู่อ่อนหรือคลีนเซอร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณ ปัจจุบันตลาดเครื่องสำอางแบ่งสบู่เหมาะสำหรับสภาพผิวแห้ง ผิวมัน และผิวปกติ จึงเลือกชนิดที่เหมาะสมได้ไม่ยากนัก
  2. สำหรับผู้ที่แต่งหน้า ซึ่งจริง ๆ แล้ว ผู้ชายบางคนก็แต่งหน้าเหมือนกัน ใช้เช็ดเมคอัพออกให้หมดเกลี้ยง ใครที่ไม่ได้แต่งหน้าแต่ใช่ครีมกันแดดก็ควรเช็ดออกก่อนเช่นกันค่ะ
  3. เริ่มล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น (เพื่อเป็นการเปิดรูขุมขน) ก่อนใช้สบู่อ่อนหรือคลีนเซอร์อย่างแผ่วเบา
  4. ข้อห้าม ขัดถูใบหน้า ห้ามบีบแกะสิว ระหว่างล้างหน้า เพราะจะเป็นการทำร้ายผิวและทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายด้วยนะค่ะ
  5. และตบท้ายด้วยน้ำเย็นเพื่อช่วยปิดและกระชับรูขุมขนค่ะ
  6. ซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าขนหนูสะอาด ควรเป็นผ้าฝ้ายบริสุทธิ์ที่อ่อนนุ่ม ห้ามเช็ดหน้าแรง ๆ
  7. หลังล้างหน้า อย่าลืมใช้โทนเนอร์เพื่อช่วยกำจัดสิ่งสกปรกที่เรายังล้างออกไม่หมดออกไปและช่วยกระชับรูขุมขน เพิ่มความชุ่มชื้นด้วย

ดังนั้น ข้อสำคัญสำหรับการล้างหน้า คือ “การล้างหน้าตามแนวขน” จะเป็นวิธีการล้างหน้าที่จะช่วยเรื่องผิวและเรื่องสิวได้ดีสุด ๆ


สาว ๆ อยากมีหน้าขาวใสไร้สิว คือ การรักษาความสะอาด ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การล้างหน้าเท่านั้นนะค่ะ แต่รวมถึงการล้างเครื่องสำอาง การทำความสะอาดพัฟแป้ง แปรงแต่งหน้า รวมถึงอุปกรณ์ที่ให้กับผิวอย่างเช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว และยังรวมถึงการทาครีมบำรุงให้เหมาะสมกับสภาพผิวของเราด้วยนะค่ะ

นวพร เอี่ยมธีระกุล
สอบถามเพิ่มเติม 0816518088

ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต