สำหรับการเลือกใช้ครีมกันแดด ควรเลือกครีมกันแดดที่เป้องกันได้ทั้งยูวีเอ และยูวีบีที่สำคัญควรดูค่า SPF ด้วย ซึ่ง SPF (sun protection factor) คือประสิทธิภาพของครีมกันแดด ซึ่งเมื่อทาครีมกันแดดแล้วจะสามารถถูกแสงแดดได้นานกว่าผิวหนังที่ไม่ทาครีมกันแดดเท่าใดนั้น ให้สังเกตตัวเลขที่SPF ยกตัวอย่างเช่น SPF-15 หมายถึง สามารถถูกแดดได้นานเพิ่มเป็น 15 เท่า คือ 15x20 = 300 นาที คือ ประมาณ 5 ชั่วโมง ผิวหนังจึงจะเริ่มไหม้แดด ซึ่งผู้ที่เป็นฝ้าควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF-15 หรือมากกว่านั้น
ปริมาณของการใช้ครีมกันแดดในการหาค่ามาตรฐาน คือ ต้องทาครีมกันแดด 2 มิลลิกรัมต่อเนื้อที่ผิวหนัง 1 ตารางเซนติเมตรนั้น นับว่า มากกว่าปริมาณการใช้ในชีวิตจริง คนปกติจะทาครีมกันแดดกันประมาณ 0.5 ถึง 1 มิลลิกรัมต่อเนื้อที่ผิวหนัง 1 ตารางเซนติเมตรเท่านั้น ทั้งนี้เพราะ หากทาครีมกันแดดมากไปจะเกิดปัญหาด้านความมันและความสวยงาม
การใช้ครีมกันแดดตามค่า SPF นี้ มักจะดูตามลักษณะสีผิว คือ
- ถ้าผิวไหม้แดดง่าย โดยผิวเปลี่ยนเป็นสีแทนยาก ใช้ค่า SPF 20-30 (Ultra high)
- ถ้าผิวไหม้แดดง่าย โดยผิวอาจมีสีแทนนิดหน่อย ใช้ค่า SPF 12-20 (Very high)
- ถ้าผิวไหม้แดดปานกลาง และผิวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแทนใช้ค่า SPF 8-12 (high)
- ถ้าผิวไหมแดดได้น้อย และผิวเปลี่ยนเป็นสีแทนได้สม่ำเสมอ ใช้ค่า SPF4-8 (Moderate)
- ถ้าผิวไหม้แดดยากมาก และผิวเปลี่ยนเป็นสีแทนได้อย่างมาก ใช้ค่า SPF 2-4 (Minimal)
ถ้าดูตามนี้แล้ว คนไทยส่วนใหญ่น่าจะจัดอยู่ในกลุ่มที่ 4-5 คือ โดนแดดอย่างไร ก็ไม่ไหม้เสียที จะมีก็แต่ผิวคล้ำดำปี๋ ก็ควรจะใช้ SPF แค่ 2-8 เท่านั้นเอง ดังนั้น เมื่อเทียบดูจากค่า SPF และปริมาณการดูดซับรังสียูวีบี พบว่า
- ค่า SPF เท่ากับ 2 จะดูดซับ UVB ได้ร้อยละ 50
- ค่า SPF เท่ากับ 4 จะดูดซับ UVB ได้ร้อยละ 75
- ค่า SPF เท่ากับ 8 จะดูดซับ UVB ได้ร้อยละ 87.5
- ค่า SPF เท่ากับ 15 จะดูดซับ UVB ได้ร้อยละ 93.3
- ค่า SPF เท่ากับ 20 จะดูดซับ UVB ได้ร้อยละ 95
- ค่า SPF เท่ากับ 30 จะดูดซับ UVB ได้ร้อยละ 96.7
- ค่า SPF เท่ากับ 45 จะดูดซับ UVB ได้ร้อยละ 97.8
- ค่า SPF เท่ากับ 50 จะดูดซับ UVB ได้ร้อยละ 98
ส่วนค่ามาตรวัดระดับการปกป้องเป็น PA (Protection grade of UVA) คือ การวัดคร่าว ๆ ว่า ครีมกันแดดนั้นกันรังสียูวีเอได้มากแค่ไหนด้วยเครื่องหมาย+ ซึ่งมีอยู่ 3 ระดับคือ
- PA+/PA++/PA+++ ซึ่งจริง ๆ แล้ว PA+ ก็เพียงพอในการทำกิจกรรมเกือบทุกประเภทแต่ถ้าต้องอยู่กลางแดดนานให้เลือก PA++ หรือสูงกว่า
คำถามที่มักมีผู้ถามบ่อย คือ ควรใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของครีมกันแดดจะดีกว่าไหม
คำตอบ คือ ควรใช้ครีมกันแดดที่ผสมสารบำรุง เพราะว่าจะออกฤทธิ์ปกป้องผิวได้เต็มอัตราศึก
สำหรับวิธีการทาครีมกันแดด ควรทาก่อนออกแดด 30 นาที อาจจะต้องทาซ้ำทับกัน 2 เที่ยวห่างกัน 15 นาที โดยแต้ม 5 จุดบนหน้า แต่จะจุดใช้เนื้อครีมปริมาณเม็ดถั่วลิสง และเกลี่ยจนทั่วหน้า ควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง หากต้องการออกแดด ควรเลือกครีมกันแดดชนิดกันน้ำ (Water proof) เหมาะกับผู้ที่ต้องว่ายน้ำ เพราะสารเหล่านี้จะเคลือบคลุมปิดผิวไว้ตลอดเวลา แต่หากจะล้างให้หมดจด ก็ต้องล้างโดยวิธีพิเศษเช่นใช้ครีมล้างหน้า เสร็จแล้วต่อด้วยเจลล้างหน้า ตามด้วยน้ำเปล่าจนสะอาด ครีมกันแดดประเภทนี้กันน้ำได้ทนประมาณ 60-80 นาที แล้วต้องทาซ้ำ แต่ประเภท Water resistant ต้องทาซ้ำทุก 40 นาที
จากรายงานการศึกษา พบว่า ค่า SPF ต่ำ ๆ (2-6) จะไม่ช่วยป้องกันอะไรเลย ดังนั้น เวลาใช้ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี SPF เหมาะสม ซึ่งอย่างต่ำประมาณSPF 15 ผลิตภัณฑ์นั้นสามารถป้องกันแสงแดดได้ทั้งยูวีเอ ยูวีบี และควรกันน้ำได้ เพราะว่าประเทศไทยมีอากาศร้อน ทำให้มีเหงื่อออกมาก ครีมกันแดดชนิดกันน้ำนั้นจึงจำเป็น และถ้าคุณต้องรับประทานยาบางชนิดอยู่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่า ผลิตภัณฑ์กันแดดนั้น จะทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้แสง หรือมีผลต่อเครื่องสำอาง สเปรย์ น้ำหอม ยาย้อมผม หรือยารับประทานที่กำลังใช้อยู่หรือไม่ ซึ่งทำให้คุณสามารถใช้ครีมกันแดดเหล่านั้นได้อย่างปลอดภัย และไร้กังวล
นวพร เอี่ยมธีระกุล
yanincosmeticbangkok.com
สอบถามเพิ่มเติม 0816518088
สอบถามเพิ่มเติม 0816518088
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น